สวัสดีค่ะผู้อ่านทุกท่าน
ห่างหายกันไปนานเลยนะคะ สำหรับการให้ข่าวสาร ความรู้ผ่านบล็อก วันนี้ผู้เขียนก็อยากจะให้ความรู้เกี่ยวกับการก่ออาชยากรรมทางคอมพิวเตอร์ให้ท่านผู้ฟังได้ทำความเข้าใจกันนะคะ
เมื่อพูดถึงอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในสังคมปัจจุบันนี้
มีการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นอย่างมากมาย ซึ่งสาเหตุในการก่ออาชญากรรมนั้น
อาจเป็นเพราะความเสื่อมโทรมทางจิตใจของมนุษย์ หรือเพราะเศรษฐกิจของสังคมโลกที่เริ่มย่ำแย่ลงก็เป็นได้
การก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้มีหลายรูปแบบ
ซึ่งการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ที่ผุ้เขียนจะพูดถึงในบล็อกนี้ก็คือ
การแฮ็กระบบข้อมูลของรายการโทรทัศน์ของบริษัทเวิร์คพอยท์ ชื่อรายการว่า ราชรถมาเกย
ซึ่งออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ซึ่งในช่วงนั้นมีการรับบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
แต่หลังจากบันทึกเทปรายการราชรถมาเกยเทปพิเศษไปได้ระยะเวลาหนึ่ง พบว่า
ไม่มีผู้ชมรายการโทรเข้ามาบริจาค จึงได้ตรวจสอบและทราบว่าถูกแอบอ้างให้โอนเงินบริจาคไปยังบัญชีของคนร้ายที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
โดยแจ้งเปลี่ยนแปลงฐานข้อมูลให้หมายเลยที่โทรศัพท์เข้ามาบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม
โอนสายไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของคนร้าย ซึ่งคนร้ายศึกษาข้อมูลของคอลเซ็นเตอร์และดำเนินการแฮกข้อมูลมาหลายรายการแล้ว
เช่น ข่าวข้นคนข่าว รายการอาจารย์หนูกันภัย ทางช่องเคเบิ้ล
และรายการทางสถานีวิทยุโทรทัศน์อื่น ๆ อีกหลายรายการ มูลค่าความเสียหายกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งผู้ต้องหาเป็นชาย 1 ราย และหญิง 1 รายคือ นายรุ่งโรจน์ หมัดดีน อายุ 31
ปี และ น.ส.มาริสา รัญจวนจิต อายุ 25 ปี
พี่น้องต่างบิดา ร่วมกันก่อเหตุ
การกระทำดังกล่าว
ถือว่าเป็นการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นเป็นอย่างมาก
ซึ่งผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 หมวด 1 ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตราที่ 9, 10, 11 และ 12 ซึ่งระบุไว้ว่า
.......................................................................
มาตรา 9 ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่ง ข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่ง แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 10 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบ เพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 11 ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา 12 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 9 หรือมาตรา 10
(1) ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเกิดขึ้นในทันทีหรือในภายหลัง และไม่ว่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันหรือไม่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
(2) เป็นการกระทำโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือการบริการสาธารณะ หรือเป็นการกระทำต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสามแสนบาท
.......................................................................
ถ้าการกระทำความผิดตาม (2) เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี
นอกจากนี้ยังผิดต่อจริยธรรมทางคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น
การใช้คอมพิวเตอร์ละเมิดผู้อื่น การใช้คอมพิวเตอร์รบกวนการทำงานของผู้อื่น
การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร
หรือแม้กระทั่งการใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการใช้คอมพิวเตอร์โดยปราศจากการเคารพกฎระเบียบ
และกติกามารยาทที่มีในสังคม
จากเหตุการณ์ที่กล่าวมาข้างต้น
คงจะทำให้ผู้อ่านทุกท่านได้รู้ถึงโทษของการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์กันแล้วนะคะ
ยังไงก็ฝากให้ทุกท่านใช้งานคอมพิวเตอร์ให้ถูกทาง
จะได้ไม่เป็นภัยต่อตนเองและสังคมนะคะ สำหรับภาคเอกชนที่จัดศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้ใช้ความระมัดระวัง
โดยตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ ว่ายังสามารถใช้การได้ปกติหรือไม่
และประชาชนผู้มีจิตศรัทธา อย่าโอนเงินบริจาคเข้าบัญชีส่วนตัว และกรุณาตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนจะโอนเงินบริจาคด้วยค่ะ
ด้วยความห่วงใยและปรารถนาดีจากผู้เขียน ขอให้ผู้อ่านทุกท่านโชคดีค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://hilight.kapook.com/view/65264